052 ธรรมปัจเวกขณ์ ในมหาวิทยาลัยชีวิตแห่งนี้ เราได้ศึกษาชีวิตกันมา ยิ่งใช้เวลา มากปีหลายปี หลายปีเข้า ผู้ที่อยู่แล้ว ก็ได้ศึกษามาจริง มีปัญญาสอดส่อง วิเคราะห์วิจัย อ่านสภาพ ที่เรามีชีวิตเป็นอยู่ และยิ่งมี ปัญญาปฏิภาณ ที่เทียบเคียงกับโลก โลกีย์ธรรมดาๆ แม้เราจะผ่านโลกีย์ บางคนไม่มาก ไม่มายนัก แต่เราก็จะรู้ว่า โดยสามัญ มนุษยโลกเราก็มี โลกธรรมเป็นเอก เสพโลกียสุข ที่เราอุปาทาน หรือ ยึดมั่นยึดหมาย แล้วเราก็ใช้ องค์ประกอบ ของสรรเสริญ ยศ ลาภ เป็นเครื่องช่วย ที่เราจะได้เสพโลกียสุข เท่าที่เราหมาย เราก็อยู่ในโลก อย่างนั้นมา แม้จะนานไปอีก ก็อย่างนั้นอีก ตลอดนิรันดร์ กี่โลก โลกจะแตกอีกกี่ลูก ก็คืออย่างนี้ ทั้งสิ้น แต่เรามาศึกษา ในมหาวิทยาลัยชีวิต แห่งนี้ ที่เรียกว่า โลกุตระ ที่เราจะเข้าใจเท่าทัน ในสิ่งที่เป็นโลกียะ และเราก็ มาหาทางออก ปลดปล่อย ซึ่งมาจาก รากเหง้าของจิต รู้เห็นจริง ถึงอาการ ถึงสภาพของโลกียะ ที่เราใคร่ เราอยาก จนกระทั่ง เราละลดปลดปล่อย ให้บางเบาลงมา แม้บางเบา เราก็ตามมารู้อยู่ว่า มันยังเหลือเชื้อ เราก็ละล้าง ให้จางคลายต่อไปอีก แม้เราจะควบคุมตนได้ ไม่ไปดีดไปดิ้น ไม่ไปแสวงหา ไม่ไปเหน็ดเหนื่อย แล้วเราก็อยู่ในระบบ หรืออยู่ในหลักการ ของพระพุทธเจ้า ที่ได้นำมาเปิดเผย และ ขอยืนยันว่า นี่เป็นทิศทาง ของการสร้างมนุษย์ ของพระพุทธองค์ ที่ทำให้มนุษย์มีคุณค่า มีประโยชน์ ชั่วชีวิตหนึ่ง ชั่วชีวิตหนึ่ง เราเกิดมาแล้ว เราก็จะตาย เราไม่ได้เสียแรงงาน ไม่ได้เสียเวลา ไม่ได้เสียอะไร ไปบำรุงบำเรอ ให้แก่ตัวเอง แล้วหลงว่า นั่นเป็นของน่าได้ น่ามีน่าเป็น ที่เรียกว่า โลกียสุขแล้ว พระสัมมาสัมพุทธเจ้า สูงลึกซึ้งกว่านั้น แม้แต่ในภพ ที่กลายเป็นคนหยุดอยู่ กลายเป็นคนติด กลายเป็นคนขี้เกียจ กลายเป็นคนไม่เอาถ่าน ไม่ขวนขวาย ไม่ทำอะไร ไม่สร้างไม่สรร พระพุทธเจ้า ท่านก็ได้แก้ไข จุดนี้อีก แล้วเราก็ได้ มาฝึกเพียรกัน เพื่อพิสูจน์ จริงหรือไม่จริง เราจะเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วย
ทุกคนมีสิทธิ์ ที่จะใช้ภูมิปัญญา ของตนเองดูแล แล้วก็ทำความเข้าใจเอง ผู้ใดมั่นใจแล้ว
มันไม่มีปัญหาอะไรเลย ที่พูดนี่ มั่นใจว่า ได้วิเคราะห์วิจัยไว้ มากเหลี่ยม
มากมุม แล้ววิเคราะห์ไว้ ครบครันแล้ว เชื่อว่าไม่มีอะไร มากกว่านี้แล้วในโลก
โลกียะกับโลกุตระ ทั้งปวง ถ้าเรากล้า เราก็จะเป็นคนกล้า ฉะนั้นตัวกล้า มันไม่ได้มาเอง มันได้มาด้วยเราทำ เราฝึก เราตัดสิน แล้วเราก็กระทำ ด้วยปัญญา เราไม่ได้ทำอะไร อย่างงมงาย พระพุทธเจ้า ไม่ได้สอนเรางมงาย ให้รู้วิเคราะห์วิจัย เมื่อแน่ใจว่า นี่ดีกว่า เหนือกว่า มันควรเป็นควรได้กว่า มนุษย์มันก็ ไอ้เท่านั้น เมื่อชัดเจนแล้ว กล้าตัดสิน แล้วลงมือทำ ฝึกปรือเอา จนกระทั่ง แข็งแรง แล้วเราจะมั่นใจ เมื่อเราเห็นแล้วว่า ชีวิตเราก็เท่านั้น เราก็เกิดมา เพื่อที่จะอยู่ไป ให้มันสิ้นตาย มันยังไม่ตาย มันก็มีความเบิกบาน แจ่มใสอยู่ สร้างสรรไป เมื่อยก็พัก ไม่เมื่อยก็เพียร วันหนึ่งคืนหนึ่งก็พระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก ชีวิตเราก็กลางวันทำงาน กลางคืนพักผ่อน พอสมควร ไม่ใช่จะนอน ไปทั้งคืนเลยทีเดียวตั้ง ๑๒ ชั่วโมง พระพุทธเจ้า ก็ไม่เคยสอนเอาไว้ นอนกี่ชั่วโมง เราก็กำหนด พอเหมาะ พอเจาะ ท่านไม่กล่าวตายตัว เพราะว่า คนมีอินทรีย์พละต่างกัน แต่ก็ไม่ได้เคยสอน ให้นอน ๑๒ ชั่วโมง ไม่เคยมีแบบ ไม่เคยมีอย่าง เพราะฉะนั้น เราก็นอนพอประมาณ เท่าที่มันต้องใช้ กาละเวลา ใช้เรี่ยวแรง ใช้การสมดุล ของการจ่ายพลังงานบ้าง อะไรต่ออะไรบ้าง แล้วเราก็ทำให้ พอไปพอเป็น ขนาดนั้น เราก็ยังรู้ว่า โลกเขา บางทีเขาก็ยังสู้ ยังอดยังทน คนโลกเขาก็ยัง แม้แต่หลงโลกียะ หลงด้วยลาภ ยศ หลงด้วยอามิสต่างๆ เขาก็ยังกล้า ที่จะเสียสละ ยังจะอด จะทน เพื่อที่จะสร้างสรร สิ่งที่เขาจะสร้างสรรขึ้น เพื่อไปแลกเปลี่ยนเอา สิ่งที่เขาต้องการ เขาก็ยังกล้าทำ ก็ถ้าเผื่อว่า เราอยู่ทางโลกุตระแล้ว เรากล้าทำ เรากล้าอดทน แม้จะเหน็ดจะเหนื่อย เราก็สร้างสรร โดยที่ไม่ได้เป็นไปเอาเลย เราไม่ได้ไปเอา เราให้เขาด้วยซ้ำไป เป็นบุญเป็นคุณ เป็นประโยชน์คุณค่า ทำไมเราไม่กล้าลอง คิดดีๆซิ ทำไมเราไม่กล้า เราสร้างคุณประโยชน์ เราไม่ได้สร้าง ความเห็นแก่ตัว สักหน่อย เราไม่ได้สร้างมาเพื่อตัวตน แต่เราสร้างเพื่อคุณค่า เพื่อประโยชน์แก่ผู้อื่นแท้ๆ ทำไมเราไม่กล้า มันดีแสนดี ใครได้ยินใครรู้ ใครก็เข้าใจว่า มันเป็นความประเสริฐ ของเราแท้ๆ ทำไมเราไม่กล้า ทำความประเสริฐให้ตน ทำไมเราไม่กล้าทำดี พิจารณาดู ที่พูดนี่ผิดมั้ย ที่พูดนี่ใช้เลศใช้เล่ห์อะไร มันจริงหรือเปล่า มันตรงหรือเปล่า ฟังชัดๆ ทำไมเราถึงเป็นคนเพี้ยน ทำไมเราถึงเป็นคนโมหะ ทำไมเราถึงไม่ตรงคม เราทำไมถึงไม่แม่นชัด ในสิ่งที่เป็นสัจจะ ได้พยายามชี้ จับประเด็น จับเป้าที่เป็น สัจจะที่แท้จริง ให้ฟังเสมอๆ แล้วเอาไปคิด ตัวเราเมื่อรู้แล้ว ทีนี้ก็กระทำ ขนาดรู้ๆ ใจมันยังไม่ยอม ใจมันเคยชิน มันยังไปติด ในสภาพที่เป็นกิเลส เสพตัวเสพตน เสพสิ่งที่มันเห็นแก่ตัว เห็นแก่ตน แม้ที่สุด อยู่เฉยๆ ว่างๆ เปล่าๆ มันเลยก็ไม่เคยปฏิเสธ มันก็ว่างก็เบา ก็ลอยชายไปวันๆ คืนๆ เดินทางไปสู่ตาย ก็บอกก็แนะนำ ทุกทีไป ไม่เคยปฏิเสธก็จริง ไม่ใช่ไม่จริง แล้วมันได้อะไรเล่า มันก็เดินไปสู่ตาย เปล่าๆ ลอยๆ โมฆะ เป็นโมฆบุรุษ ซึ่งเป็นคำบอกแล้วว่า เป็นคำว่า ที่เจ็บแสบของ พระพุทธเจ้า เราจะอยู่ทำไม เราจะมีทำไม เราจะเป็นมนุษย์ขึ้นมาทำไม ก็เป็น ก้อนดิน ก้อนหิน มันก็โมฆะ อย่างเดียวกัน มันไม่ได้มีดีเด่อะไร กว่ากันเลย มาเป็นทำไม มาชื่อว่ามนุสโส ผู้ประเสริฐ ผู้มีจิตสูง เพราะฉะนั้น เราจะเป็นมนุษย์ มีจิตสูงประเสริฐ เราก็ทำให้มัน สมศักดิ์สมศรี คำว่ามนุษย์เสีย แล้วเราก็จะตาย มันก็ไอ้เท่านั้นเองนะ เมื่อเราเข้าใจทุกเหลี่ยมทุกมุม ที่พยายามชี้แนะ พยายามที่จะบอก จะกล่าวแล้ว เราก็จะรู้ บอกแล้วว่า แม้แต่เรารู้ เราก็ยังจะต้องมาฝึกปรือ ต่อจิตใจของเราว่า เราต้องทำมัน จะปล่อยปละละมัน มันไม่เป็นไปหรอก มาเป็นไป เมื่อเราฝึกปรือไปแล้ว มันจะเป็นไปได้ อดทนได้ จนกระทั่ง ไม่ต้องอดทน จนกระทั่ง เห็นจริงว่า เอ๊อ! มันก็เป็นความดี แล้วมันก็เคยชิน ไม่ใช่ชินชา เคยชิน คือ ความชำนาญเกิด ความเคยเกิด ความเป็นไปได้ คล่องแคล่ว รู้ชัด จะจับจะต้อง จะเป็นจะไป จะสร้างจะสรรอะไร มันเป็นไปเอง มันง่าย มันง่ายขึ้น มันก็เบาขึ้นมา แม้มันจะไม่เบา เท่าอยู่เฉยๆ ว่าง ก็จริงอยู่ แต่มันก็เบาง่าย ในงานที่เรากระทำ หรือฝึกปรือขึ้นมา มันง่ายขึ้น เบาขึ้น คล่องแคล่วขึ้น สร้างสรรได้ดีขึ้น ชำนาญขึ้น แล้วเราก็จะเดินทาง ไปกับการงาน อย่างนั้นแหละ เมื่อยก็พัก ไม่เมื่อยก็เพียร ก็ซ้ำซาก พูดบอก อยู่ตลอดเวลา เราจึงจะรู้ว่า อ้อ! ชีวิตคนนี้ประเสริฐตรงไหน มีค่าตรงไหน มีคุณตรงไหน มันเรียกว่าประเสริฐนี่ มันตรงไหนกันแน่ เราจะได้รู้ชัด รู้เจนว่า อ้อ! ประเสริฐตรงที่ เราสร้างสรร เพื่อสรรพสัตว์ เพื่อมวลมนุษยชาติในโลก อะไรสำคัญเราก็ดู เราสู้ด้วย เราก็เสนอแนะหมู่ฝูง หรือ เราก็นำพาทำ ถ้าเราไม่รู้ เราก็ทำตามหมู่ฝูง ที่ช่วยกันคิด เห็นว่าอะไรสำคัญ อะไรควรทำ อะไรดี แล้วเราก็ทำไปด้วยกัน ต่างคนต่างพยายาม ใช้จิตวิญญาณ พิจารณา แล้วก็พยายามรู้สิ่งดี สร้างสรรสิ่งดีนี่ไป ไป ไป ทั้งเป็นตัวอย่าง เป็นแบบอย่าง ทั้งเป็นสิ่งที่ประเสริฐ อยู่ในโลก สำหรับตัวเรานั้น ได้ละได้ลด ได้ล้างออกมาแล้ว มันไม่มีอะไรมากหรอก กิน ขี้ เยี่ยว นิดๆหน่อยๆ วันหนึ่งคืนหนึ่ง ไม่เปลือง ไม่ผลาญ ไม่พร่า ยิ่งเราได้พิสูจน์มา ขนาดนี้แล้ว ก็เชื่อแน่ว่า เราเองจะมั่นใจ และเชื่อเด็ดขาดว่า มันไม่ยุ่ง ไม่ยากอะไร ชีวิตมันยิ่งกว่าดอกหญ้า ดังที่กล่าวแล้ว มันไม่ใหญ่ ไม่โต มันไม่หนัก ไม่หนา มันไม่ยุ่ง ไม่ยากเลย รักษามันไว้ให้แข็งแรง สุขภาพกายก็ดี โดยเฉพาะ แม้เรายิ่งรู้ชัด และทำจิตใจของเรา เป็นไปได้ ทั้งจิตใจก็ดี มันแสนสบาย มันแสนง่าย มันไม่ยากเลย ชีวิตมนุษย์นี่ มันไม่ยาก เมื่อเราสบายแล้ว ลดละกิเลส ที่เห็นแก่ตัว ตั้งแต่สักกายะ จนกระทั่งถึงอัตตา ออกมาได้มากๆ แล้วจะเห็นชัด ยิ่งมากถึงขนาด คุณเป็นพระอรหันต์ได้ คุณยิ่งจะชัดเจนเลยว่า ชีวิตนี่มันไม่ยาก แล้วเราก็ใช้มัน ขับเคลื่อนมันไป วันต่อวัน ใจเราก็จะ ไม่มีการวูบๆ วาบๆ ใจมันก็จะทรงทน รู้เท่ารู้ทัน รู้จริง สบาย ปลอดโปร่ง เบิกบาน แจ่มใส คนอื่นเขาพูดยังไง คนอื่นเขาประชดประชันยังไง เขาตำหนิติเตียน เขาด่าทออย่างนั้น อย่างนี้ จะเข้าใจ ไม่มีปัญหาอะไร เราจะไม่วูบวาบไปด้วย เสียงด่าเสียงทอ เราจะไม่ฟูฟ่องไปด้วย เสียงสรรเสริญ เยินยอ และ อำนาจโลก ตั้งแต่วัตถุสัมผัส รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ที่มีอยู่ในโลก ห้อมล้อมกันอยู่ในโลกนี้ เราก็อยู่ด้วย เราก็จะไม่เป็นทาส สิ่งเหล่านั้นเลยจริงๆ เราจะรู้สารัตถะ ที่จะเอามาผสมผสาน มาสังเคราะห์ ไม่มากไม่เปลือง นอกกว่านั้น ก็มีแต่สิ่งประกอบ องค์ประกอบ ที่จะสร้างสรรกิจการ สร้างสรรการงานอะไร จะเป็นคุณ เป็นประโยชน์ แก่คนอีกมากฐานะ มากฐานะเหลือเกิน คนในโลก แล้วเราก็จะช่วยคนในโลก ที่มากฐานะเหล่านั้น เราก็จะเป็นอยู่ ทั้งสบายใจ และประเสริฐ มีคุณค่าตามความหมาย ที่ได้อธิบายมานี้ ขอให้พวกเราได้สอดส่อง ตรวจตราตนเอง และความรู้ ที่ได้ทบทวน หรือได้ สรุปเอามาขยายความสั้นๆ เท่าที่เวลามี ช่วงนี้ให้ฟังแล้ว เราก็จะได้เป็นคนที่ ไม่หลักลอย หรือว่าไม่วกเวียน วนเวียน แปรปรวน จะเป็นคนมั่นคง ชัดเจน แม้ตัวเราเอง ได้มากได้น้อย เหลือเศษเหลือส่วน หรือว่าได้ดีแล้ว เราจะไม่สับสน เราจะไม่น้อยใจ จะไม่มีมานะ เราทำได้ทำไม่ได้ ส่วนนั้นส่วนนี้ คนหลายจริต คนหลายความสามารถ คนทำได้ก็ทำ เราทำได้อีกเราก็ทำ ต่างคนก็ต่างช่วยกันไป คนละแง่ คนละมุม แล้วมันก็เดินไป แล้วมันก็เป็นหมู่กลุ่ม เป็นสังฆมณฑล เป็นสภาพของมนุษย์กลุ่ม ที่มีหลักการอันนี้ มีความเข้าใจ เป็นทิฏฐิสามัญตา มีหลักเกณฑ์ ระเบียบวินัย เป็นศีลสามัญตา อาศัยศีลหลัก หรืออาศัยความเห็น ที่ตรงกันนี้ ไปด้วยกัน เป็นมวลหมู่ ที่สอดคล้อง และมีพลัง มีความสุขเย็น สันติ พร้อมกันนั้น ก็สร้างความเจริญงอกงาม ให้แก่สังคม กลุ่มหมู่อื่นๆด้วย ไม่เฉพาะแต่ตนเท่านั้น เพราะตนเราก็พึ่งตนได้ เราก็พอกิน พอใช้ พอเลี้ยง ไม่ขาดแคลน ไม่เดือดร้อน ไม่ทุกข์เลย และเราก็จะมีเหลือเฟือ เผื่อแผ่ออกไป สู่มนุษย์อื่นๆ อีกด้วย นั่นคือ ความประเสริฐ เราไม่ผลาญ แต่เรากลับเป็น ผู้สร้างสรร ให้แก่โลกเขาอีกด้วย ดั่งนี้ นี่เป็นจุดเป้าหมายของความประเสริฐของ... ขอยืนยันว่า นี่เป็นศาสนาพุทธ ส่วนจะอยู่ว่างๆ ลอยๆ ร่องๆ แร่งๆ นั้น ก็พูดกันมากเหมือนกัน ก็คิดว่า เราจะรู้ จะเข้าใจ เพราะฉะนั้น ผู้ใดจะเลือกอย่างนั้น ก็เชิญเลือกเถิด ตามอิสรเสรีภาพ แต่ใครจะเลือกอย่างนี้ ก็เลือกเถิด และจงมีความมั่นใจ รู้แม่น รู้ชัด เราจะได้ ไม่เป็นคนที่ ฟูฟอง ลอยล่อง อะไรกระแทกก็เคลื่อน อะไรกระแทก อะไรกระทบ ก็หวั่นไหว อะไรต่ออะไร ก็แปรปรวน แต่เราจะกลายเป็นคน แน่นอน มั่นคง และเราก็จะเป็นหลัก ให้แก่คนประเภทนี้ ให้แก่คนชนิดที่เรียกว่า ศาสนาพุทธนี้ ช่วยคนยืนหยัดยืนยัน ด้วยตัวจริง ของตัวมนุษย์ โลกนี้ก็จึงจะมี สิ่งจริง ที่ไม่ใช่มีแต่ความรู้ มีแต่ปัญญา มีแต่ตรรกวิทยา เหตุผล แต่เสร็จแล้ว ก็พิสูจน์ไม่ได้ ทำไม่ได้ แต่เราจะมีความจริงของคนจริง ยิ่งมากคนเท่าใด โลกก็จะยิ่งจะจำนน และต้องยอมรับมากขึ้น เท่านั้นๆ สาธุ.
|